9 วิธีการบำรุงผิวหน้าให้สดใส สวยงามอยู่เสมอ
9 วิธีการบำรุงผิวหน้าให้สดใส สวยงามอยู่เสมอ
ผิวหน้า ที่แลดูอ่อนเยาว์ เปล่งปลั่ง สดใส เป็นสิ่งที่สาวๆ หลายคนใฝ่ฝัน แต่การจะดูแลความงามให้คงอยู่กับเรานั้น มิใช่เรื่องง่าย เพราะผิวหน้าของเรา เป็นอวัยวะที่บอบบางและต้องเผชิญกับมลภาวะรอบด้านอยู่ตลอดเวลา บทความนี้ จะให้ผู้อ่านมารู้จักวิธีการบำรุงผิวหน้า ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผิวพรรณของท่านเปล่งปลั่ง สดใสอยู่เสมอ
1. ล้างผิวหน้าอย่างอ่อนโยน ให้สะอาดล้ำลึก
การทำความสะอาดผิวหน้าเป็นขั้นตอนแรกและสำคัญที่สุดในการบำรุงผิว ควรเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เหมาะกับสภาพผิวของตน ไม่ว่าจะเป็นผิวมัน ผิวแห้ง หรือผิวผสม โดยหลีกเลี่ยงสบู่ที่มีฤทธิ์เป็นด่างสูง เพราะอาจทำให้ผิวแห้งตึงและระคายเคืองได้ ลองเลือกใช้ สารสกัดจากผลไม้ ที่ช่วยเสริมการทำความสะอาดที่อ่อนโยน และบำรุงผิวไปในคราวเดียวกันเช่น ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าจากเปลือกมังคุด ผลิตภัณฑ์จากกรดผลไม้เช่น มะนาว ส้ม เป็นต้น ควรล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น ด้วยน้ำอุ่น ไม่ร้อนจนเกินไป และใช้นิ้วมือนวดเบาๆ เป็นวงกลม อย่าถูแรงหรือขัดผิวจนเกินไป หลังล้างหน้าเสร็จ ควรซับหน้าเบาๆ ด้วยผ้าขนหนูที่สะอาด ไม่ควรถูแรงๆ เพราะจะทำให้ผิวระคายเคืองได้
2. ปรับสมดุลผิวด้วยโทนเนอร์
หลังจากทำความสะอาดผิวหน้าแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ การใช้โทนเนอร์ ซึ่งจะช่วยปรับสมดุล pH ของผิว กระชับรูขุมขน และเตรียมผิวให้ให้ชุ่มชื้นพร้อมรับการบำรุงในขั้นตอนต่อไป ควรเลือกโทนเนอร์ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองได้ สำหรับผิวแห้งหรือบอบบาง ควรเลือกโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของสารให้ความชุ่มชื้น เช่น สารไฮยาลูโรนิก ( Hyaluronic ) , ส่วนผิวมันควรเลือกโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากธรรมชาติที่ช่วยควบคุมความมัน เช่น Tea Tree , Witch-hazels
3. เติมเต็มด้วยเซรั่มบำรุงล้ำลึก
เซรั่ม ( Serum ) เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นของสารบำรุงสูง จึงสามารถแก้ไขปัญหาผิวเฉพาะจุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรเลือกใช้เซรั่มตามปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไข เช่น เซรั่ม ที่มีช่วยลดรอยดำ รอยแดง ( มีส่วนผสมของ Vit C ) , เซรั่ม ทำให้ผิวกระจ่างใส ( มีส่วนผสมของ เรตินอล ) เซรั่มช่วยลดริ้วรอย กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ( มีส่วนผสมของ Hyaluronic ) ดังนั้น ควรทาเซรั่มก่อนการทาครีมบำรุงผิว เพราะเซรั่มมีโมเลกุลเล็กกว่า จะซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดีกว่า เร็วกว่า เพื่อช่วยฟื้นฟูผิวหนังชั้นในได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. บำรุงผิวหน้าด้วยครีมบำรุงผิว
การเลือกครีมบำรุงผิวที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญมาก ควรเลือกตามสภาพผิวหนังและปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไข ผิวแห้งควรเลือกครีมที่มีส่วนผสมของน้ำมันธรรมชาติ เช่น น้ำมันโจโจบา น้ำมันอาโวคาโด หรือเชียบัตเตอร์ ผิวมันควรเลือกครีมเนื้อเบา ไม่อุดตันรูขุมขน และมีส่วนผสมที่ช่วยควบคุมความมัน ผิวผสมควรใช้ครีมที่มีความสมดุล ไม่เหนอะหนะจนเกินไป ส่วนผิวบอบบางแพ้ง่ายควรเลือกครีมที่ปราศจากน้ำหอมและสารกันเสีย ควรทาครีมบำรุงผิวทั้งเช้าและก่อนนอน โดยทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอ
5. ทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวจากรังสี UV
แสงแดด หรือแสง UV เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผิวเสื่อมสภาพก่อนวัย เกิดริ้วรอย จุดด่างดำ และอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งผิวหนัง การทาครีมกันแดด จึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF อย่างน้อย 30 และมีการป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB แนะนำว่า ควรทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านอย่างน้อย 15-30 นาที และทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมงหากต้องอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน นอกจากนี้ ควรสวมหมวกปีกกว้าง แว่นกันแดด และเสื้อผ้าที่ปกปิดผิวหนัง เมื่อต้องออกไปกลางแจ้ง เพื่อป้องกันแสงแดดเพิ่มเติม
6. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำลายผิว
นอกจากการบำรุงผิวแล้ว การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำลายผิวก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เช่น ควรงดการสูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่ทำให้ผิวเหี่ยวย่น ขาดความชุ่มชื้น และมีสีผิวที่หมองคล้ำ , ลดการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะแอลกอฮอล์ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ ส่งผลให้ผิวแห้งและขาดความยืดหยุ่น , หลีกเลี่ยงการนอนดึก เพราะการพักผ่อนไม่เพียงพอทำให้ผิวหมองคล้ำ เกิดถุงใต้ตา และริ้วรอยก่อนวัย และส่งผลให้ร่างกายไม่ได้สร้างฮอร์โมนเพื่อการฟื้นฟูเซลล์ร่างกาย , ไม่แกะสิว บีบสิว หรือแคะผิวหน้า เพราะอาจทำให้เกิดแผลเป็นและการอักเสบ และอาจจะเกิดการติดเชื้อขึ้นได้ และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัด มันจัด หรือหวานจัด ซึ่งอาจส่งผลต่อสภาพผิวได้
7. โภชนาการเพื่อผิวสวย
อาหารที่รับประทานมีผลโดยตรงต่อสุขภาพผิว ควรรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อการบำรุงผิว ได้แก่ วิตามินซีที่พบมากในผลไม้ตระกูลส้ม กีวี พริกหวาน บรอกโคลี ช่วยต้านอนุมูลอิสระและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน , วิตามิน อี ที่พบในถั่ว เมล็ดทานตะวัน อัลมอนด์ ช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายจากแสงแดด , โอเมก้า-3 ที่พบในปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิว , สังกะสีที่พบในเนื้อสัตว์ ถั่ว เมล็ดฟักทอง ช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียหาย และเบต้า-แคโรทีนที่พบในผักใบเขียวเข้ม แครอท มะเขือเทศ ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดและทำให้ผิวเปล่งปลั่ง นอกจากนี้ ควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อช่วยขับสารพิษและรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิว
8. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อมสร้างผิวสดใส
การออกกำลังกายไม่เพียงแต่ดีต่อสุขภาพโดยรวม แต่ยังส่งผลดีต่อผิวพรรณด้วย การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้เลือดนำออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงเซลล์ผิวได้ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยขับเหงื่อ ซึ่งเป็นการขับสารพิษออกจากร่างกายอีกทางหนึ่ง ควรออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ 30 นาทีขึ้นไป แต่อย่าลืมล้างหน้าทันทีหลังออกกำลังกายเพื่อป้องกันการอุดตันของรูขุมขนด้วย
9. พักผ่อนให้เพียงพอ ผิวสวยสดใส
การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอเป็นกุญแจสำคัญสู่ผิวพรรณที่สดใส เพราะในขณะที่เรานอนหลับ ร่างกายจะทำการซ่อมแซมและสร้างเซลล์ผิวใหม่ ควรนอนหลับอย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง และพยายามเข้านอนและตื่นนอนในเวลาเดียวกันทุกวัน เพื่อให้ร่างกายได้ปรับสมดุล นอกจากนี้ การนอนหลับในที่มืดสนิทจะช่วยกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนเมลาโทนิน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอวัยและฟื้นฟูผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรจัดสภาพแวดล้อมในห้องนอนให้เอื้อต่อการพักผ่อน โดยควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ที่ประมาณ 18-22 องศาเซลเซียส ใช้ผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนที่ทำจากผ้าฝ้ายนุ่มๆ เพื่อลดการเสียดสีกับผิวหน้า และหลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ปล่อยแสงสีฟ้า ( Blue Ray ) ก่อนนอน เพราะแสงเหล่านี้จะรบกวนการหลั่งเมลาโทนิน ทำให้นอนหลับยากและคุณภาพการนอนลดลง นอกจากนี้ การนอนหงายโดยใช้หมอนที่มีความสูงพอเหมาะจะช่วยลดการเกิดริ้วรอยบนใบหน้าและลำคอได้ ส่วนผู้ที่มีปัญหาถุงใต้ตาหรือขอบตาคล้ำ อาจลองนอนโดยหนุนหมอนให้ศีรษะสูงขึ้นเล็กน้อย เพื่อช่วยลดการคั่งของของเหลวใต้ดวงตา
การผ่อนคลายก่อนนอนก็เป็นสิ่งสำคัญ อาจลองทำสมาธิ ฟังเพลงเบาๆ หรืออ่านหนังสือเล่มโปรด เพื่อลดความเครียดและช่วยให้หลับสบายขึ้น ความเครียดเป็นศัตรูตัวร้ายของผิวสวย เพราะมันกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ( Cortisol ) ซึ่งทำให้ผิวแห้ง เกิดสิว และริ้วรอยได้ง่าย สำหรับคนที่ชอบนอนดึก แต่ต้องตื่นเช้า การงีบหลับระหว่างวัน ( NAP ) 15-20 นาที ก็สามารถช่วยฟื้นฟูผิวพรรณได้ แต่ไม่ควรงีบนานเกินไป เพราะอาจทำให้นอนไม่หลับได้ในตอนกลางคืน และก่อนเข้านอน อย่าลืมทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาดหมดจด และทาครีมบำรุงผิวกลางคืน ( Night Cream ) ที่มีส่วนผสมของสารบำรุงเข้มข้น เช่น เรตินอล ( Retinol ) หรือเปปไทด์ ( Peptide ) เพื่อช่วยซ่อมแซมผิวในขณะที่คุณหลับ ผิวจะได้ทำงานควบคู่ไปกับการพักผ่อนของร่างกาย ทำให้ตื่นขึ้นมาพร้อมผิวที่สดใสในยามเช้า
ดังนั้น การพักผ่อนที่เพียงพอ ไม่เพียงแต่ทำให้ผิวพรรณสดใสเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ และทำให้มีสุขภาพจิตที่ดีอีกด้วย
สรุป การมีผิวพรรณที่สดใส งดงามนั้น ไม่ใช่เรื่องของโชคชะตา แต่เป็นผลลัพธ์ของการดูแลตนเองอย่างสม่ำเสมอ ตั้งแต่การทำความสะอาดผิวอย่างถูกวิธี การบำรุงด้วยผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม การปกป้องผิวจากแสงแดด ไปจนถึงการใส่ใจเรื่องโภชนาการ การออกกำลังกาย และการพักผ่อนอย่างเพียงพอ
ทั้ง 9 วิธีที่ได้กล่าวมานี้ ล้วนมีความสำคัญและส่งเสริมซึ่งกันและกัน การนำไปปฏิบัติอย่างครบถ้วนและสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณมีผิวพรรณที่สดใส มีสุขภาพดี และดูอ่อนเยาว์กว่าวัย อย่างไรก็ตาม พึงระลึกไว้เสมอว่าความงามที่แท้จริงนั้นเริ่มต้นจากภายใน การมีสุขภาพกายและจิตใจที่ดี มีความมั่นใจในตนเอง มีรอยยิ้มที่สดใส มีทัศนคติที่ดี มองโลกในด้านบวก ก็จะยิ่งเสริมให้ผิวพรรณของคุณเปล่งประกายงดงามยิ่งขึ้นไปอีก
มาเริ่มต้นดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้ แล้วคุณจะพบว่า ความงามที่ยั่งยืนนั้นไม่ได้อยู่ไกลเกินเอื้อมอย่างที่คิด
#SnatureHealth
#IntensiveMoistureCleansingGel
#สเปรย์น้ำตบข้าวหอมมะลิและใบเตย